บทความควรรู้ สนใจติดต่อได้ที่ 0849134675 (น้าเดช)
ประโยชน์ของการ DETOX คือ
การล้างลำไส้ (DETOX) จะช่วยทำความ สะอาดและขจัดสิ่งสกปรกของเสีย กาก อาหาร รวมทั้งสารพิษที่ตกค้าง อยู่ในลำไส้ให้หมดไป เนื่องจากของเสียเหล่านี้ มักถูกขับถ่ายออกได้ไม่หมดจึงตกค้างอยู่ ในลำไส้ บางครั้งจะเกาะติดอยู่ตามผนัง ของลำไส้เป็นตะกรัน เป็นอุจจาระ เนื้อเยื่อของเซลล์ที่ตาย พยาธิและน้ำเมือกที่ถูกสะสมไว้ สิ่งเหล่านี้จะเป็นผล ร้ายต่อร่างกายจนทำให้เกิดอาการต่างๆ ของโรค
การล้างลำไส้ (DETOX) จะช่วยทำความ สะอาดและขจัดสิ่งสกปรกของเสีย กาก อาหาร รวมทั้งสารพิษที่ตกค้าง อยู่ในลำไส้ให้หมดไป เนื่องจากของเสียเหล่านี้ มักถูกขับถ่ายออกได้ไม่หมดจึงตกค้างอยู่ ในลำไส้ บางครั้งจะเกาะติดอยู่ตามผนัง ของลำไส้เป็นตะกรัน เป็นอุจจาระ เนื้อเยื่อของเซลล์ที่ตาย พยาธิและน้ำเมือกที่ถูกสะสมไว้ สิ่งเหล่านี้จะเป็นผล ร้ายต่อร่างกายจนทำให้เกิดอาการต่างๆ ของโรค
1. ช่วยทำความสะอาดลำไส้ อุจจาระ แบคทีเรียที่เป็นโทษต่อร่างกาย
และสารพิษต่างๆจะถูกชะล้างออกไป ซึ่งในระยะยาวร่างกายก็จะไม่เกิด
การสะสมสารพิษเหล่านี้ เมื่อสารพิษเหล่านี้ถูกกำจัดออกไปลำไส้จะ
สามารถทำงานได้ตามปกติ
2. เป็นการบริหารกล้ามเนื้อลำไส้ ของเสียที่ตกค้างมีผลทำให้ลำไส้อ่อน แอลงและทำหน้าที่ได้ไม่เต็มที่ การล้างลำไส้จึงเป็นการช่วยส่งเสริม กล้ามเนื้อลำไส้ให้ทำงานได้มากขึ้น โดยปกติลำไส้มีหน้าที่กำจัดของเสีย ก็อาจเป็นไปโดยไม่สมบูรณ์ กล้ามเนื้อลำไส้ที่แข็งแรงและทำงานได้ อย่างเป็นจังหวะจะช่วยทำให้การผลักดันของเสีย เช่น กากอาหารและ อุจจาระออกจากลำไส้ได้เร็วขึ้น และไม่เกิดสารตกค้างจนกลายเป็นพิษ
3. ทำให้ลำไส้มีขนาดเป็นปกติ เมื่อลำไส้ทำงานอย่างผิดปกติ จะส่งผล ให้โครงสร้างและขนาดลำไส้เปลี่ยนไป ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ ตามมา การสวนล้างลำไส้ ช่วยให้ลำไส้เกิดการเคลื่อนตัว ช่วยลด อาการบวมหรือโป่งพองของลำไส้ อันเนื่องมาจากการที่มีของเสียอุดตัน บริเวณนั้น ทำให้ลำไส้มีรูปร่างปกติตามธรรมชาติ ซึ่งการรักษาทางยา หรือการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ อาจทำให้ลำไส้กลับคืนสู่รูปทรงปกติได้เพียง ระยะสั้นเท่านั้น
4. กระตุ้นจุดตอบสนองของระบบอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย
ซึ่งอวัยวะทุก ส่วนจะมีการทำงานเชื่อมต่อกับลำไส้โดยจุดตอบสนอง การล้างลำไส้เป็นการช่วยกระตุ้นจุดที่ว่านี้ซึ่งจะส่งผลดีต่อร่างกาย โดยรวม เช่น ตับ ถุงน้ำดี ตับอ่อน ไต ต่อมน้ำเหลืองและการหมุนเวียน ของเลือด เป็นต้น
5. ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น ร่างกายของเราประกอบด้วยน้ำ 60-70% การสวนล้างลำไส้ด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำเกลือแร่ ร่างกายโดยรวมจะ สามารถดูดซึมน้ำเหล่านั้นไปหล่อเลี้ยงเซลล์ต่างๆ เพื่อให้เซลล์เหล่านั้น ทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมกับละลายและเจือจาง เมือกที่สะสมอยู่ในผนังลำไส้ให้ขับออกได้สะดวกขึ้น
มะเร็งลำไส้
มะเร็งลำดับต้นๆ ของคนวันนี้ มะเร็งเป็นโรคร้ายแรงที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต มะเร็งลำไส้ใหญ่ก็เช่นกัน โดยมะเร็งชนิดนี้เป็นโรคมะเร็ง ที่พบบ่อยเป็นลำดับต้นๆ ก่อนอื่นคงต้องทำความรู้จักกับลำไส้ใหญ่กันก่อน ว่าลำไส้ใหญ่นั้นเป็นส่วนปลายๆ ของระบบทางเดินอาหาร โดยต่อมาจากลำไส้เล็ก แล้วไปต่อกับ ส่วนไส้ตรง (Rectum) ซึ่งจะไปสิ้นสุดที่ทวารหนัก มะเร็งของลำไส้ใหญ่เกือบทั้งหมดจะเริ่มจากการเป็นติ่งเนื้อ (polyps) ขึ้นมาก่อน แล้วค่อยกลายเป็นเนื้อร้าย วิธีที่จะรู้ได้ว่ามีติ่งเนื้อร้ายอยู่ในลำไส้ใหญ่หรือไม่ ก็ต้องตรวจด้วยวิธีการต่างๆ ที่จะกล่าวต่อไป
2. เป็นการบริหารกล้ามเนื้อลำไส้ ของเสียที่ตกค้างมีผลทำให้ลำไส้อ่อน แอลงและทำหน้าที่ได้ไม่เต็มที่ การล้างลำไส้จึงเป็นการช่วยส่งเสริม กล้ามเนื้อลำไส้ให้ทำงานได้มากขึ้น โดยปกติลำไส้มีหน้าที่กำจัดของเสีย ก็อาจเป็นไปโดยไม่สมบูรณ์ กล้ามเนื้อลำไส้ที่แข็งแรงและทำงานได้ อย่างเป็นจังหวะจะช่วยทำให้การผลักดันของเสีย เช่น กากอาหารและ อุจจาระออกจากลำไส้ได้เร็วขึ้น และไม่เกิดสารตกค้างจนกลายเป็นพิษ
3. ทำให้ลำไส้มีขนาดเป็นปกติ เมื่อลำไส้ทำงานอย่างผิดปกติ จะส่งผล ให้โครงสร้างและขนาดลำไส้เปลี่ยนไป ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ ตามมา การสวนล้างลำไส้ ช่วยให้ลำไส้เกิดการเคลื่อนตัว ช่วยลด อาการบวมหรือโป่งพองของลำไส้ อันเนื่องมาจากการที่มีของเสียอุดตัน บริเวณนั้น ทำให้ลำไส้มีรูปร่างปกติตามธรรมชาติ ซึ่งการรักษาทางยา หรือการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ อาจทำให้ลำไส้กลับคืนสู่รูปทรงปกติได้เพียง ระยะสั้นเท่านั้น
4. กระตุ้นจุดตอบสนองของระบบอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย
ซึ่งอวัยวะทุก ส่วนจะมีการทำงานเชื่อมต่อกับลำไส้โดยจุดตอบสนอง การล้างลำไส้เป็นการช่วยกระตุ้นจุดที่ว่านี้ซึ่งจะส่งผลดีต่อร่างกาย โดยรวม เช่น ตับ ถุงน้ำดี ตับอ่อน ไต ต่อมน้ำเหลืองและการหมุนเวียน ของเลือด เป็นต้น
5. ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น ร่างกายของเราประกอบด้วยน้ำ 60-70% การสวนล้างลำไส้ด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำเกลือแร่ ร่างกายโดยรวมจะ สามารถดูดซึมน้ำเหล่านั้นไปหล่อเลี้ยงเซลล์ต่างๆ เพื่อให้เซลล์เหล่านั้น ทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมกับละลายและเจือจาง เมือกที่สะสมอยู่ในผนังลำไส้ให้ขับออกได้สะดวกขึ้น
มะเร็งลำไส้
มะเร็งลำดับต้นๆ ของคนวันนี้ มะเร็งเป็นโรคร้ายแรงที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต มะเร็งลำไส้ใหญ่ก็เช่นกัน โดยมะเร็งชนิดนี้เป็นโรคมะเร็ง ที่พบบ่อยเป็นลำดับต้นๆ ก่อนอื่นคงต้องทำความรู้จักกับลำไส้ใหญ่กันก่อน ว่าลำไส้ใหญ่นั้นเป็นส่วนปลายๆ ของระบบทางเดินอาหาร โดยต่อมาจากลำไส้เล็ก แล้วไปต่อกับ ส่วนไส้ตรง (Rectum) ซึ่งจะไปสิ้นสุดที่ทวารหนัก มะเร็งของลำไส้ใหญ่เกือบทั้งหมดจะเริ่มจากการเป็นติ่งเนื้อ (polyps) ขึ้นมาก่อน แล้วค่อยกลายเป็นเนื้อร้าย วิธีที่จะรู้ได้ว่ามีติ่งเนื้อร้ายอยู่ในลำไส้ใหญ่หรือไม่ ก็ต้องตรวจด้วยวิธีการต่างๆ ที่จะกล่าวต่อไป
ใครบ้างที่มีความเสี่ยงต่อโรคนี้ อาการท้องผูกไม่น่าจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่
แต่ผู้ที่ท้องผูกเป็นประจำ มักจะชอบกินอาหารเนื้อสัตว์มากๆ ไม่ค่อยออกกำลังกาย
ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงกว่าจึงอาจมีโอกาสเป็นมะเร็ง ลำไส้ใหญ่มากกว่าคนทั่วไป
ทำอย่างไรจึงไม่เป็นโรคนี้ ก็ต้องกำจัดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่ทำได้
ซึ่งได้แก่ เปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหาร โดย
ควบคุมอาหารการกินให้เน้นอาหารประเภทผัก ผลไม้ และกากใยอาหารให้มากๆ
จะย่อยง่ายกว่าเนื้อสัตว์ และช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น
โดยเฉพาะในคนที่มักจะท้องอืด อาหารไม่ย่อย หรือท้องผูกบ่อยๆ แต่ถ้าลองเน้นผักสด
ผลไม้ กากใยมากขึ้นกว่าเดิมแล้วยังไม่ดีขึ้น คุณก็ควรพบแพทย์วินิจฉัยว่าควรใช้ยา
ช่วยในระบบย่อยหรือไม่ นอกจากนี้แล้วยังควรเสริมด้วยโฟลิก แอซิด วิตามินซี
แคลเซียม วิตามินอี และเซเลเนียม ลดอาหารประเภท เนื้อ ไขมันสัตว์
นอกจากเรื่องอาหารแล้วก็ควรงดบริโภคสิ่งที่เป็นมลพิษต่อสุขภาพ ได้แก่ แอลกอฮอล์
และบุหรี่ การออกกำลังกายก็มีความสำคัญมากเช่นกัน
โดยที่ทางสมาคมโรคมะเร็งของสหรัฐอเมริกา ได้แนะนำให้
ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อยวันละ 30 นาที
ซึ่งจะช่วยทำให้ไม่อ้วน มีสุขภาพทั่วไปที่แข็งแรง และลด ความเสี่ยงต่อมะเร็งลงได้
จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคนี้หรือเปล่า?
เนื่องจากเป็นโรคที่ไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่ถ้าตรวจพบว่าเป็นและได้รับการรักษาแต่เนิ่นๆ จะได้ผลดีมาก โดยถ้าได้รับการรักษาก่อนที่มะเร็งจะกระจายออกไป จะมีอัตราการหายประมาณ 90 % แต่ถ้าเริ่มรักษาตอนที่ มะเร็งได้ลุกลามไปยังอวัยวะหรือต่อมน้ำเหลืองข้างเคียงแล้ว จะมีอัตราการหายลดลงเหลือ 65 % แต่ถ้ามะเร็งได้ กระจายไปยังตับหรือปอดแล้ว อัตราการหายจะลดลงเหลือเพียง 8 % เท่านั้น คุณคงเห็นแล้วว่า ยิ่งตรวจพบมะเร็งได้เร็วและได้รับการรักษาเร็วเท่าไร โอกาสหายยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้น คุณที่มีปัจจัยเสี่ยงตามที่กล่าวมาข้างต้น ควรรีบไปตรวจดูว่าเป็นโรคนี้หรือเปล่า
อาการของโรคนี้มีอะไรบ้าง?
อาการที่พบได้ก็มีดังนี้ ? แรกๆจะไม่มีอาการอะไรเลย อาจมีเพียงอืดแน่นท้องบ้างเป็นครั้งคราว ? มีการเปลี่ยนแปลงของการถ่ายอุจจาระ เช่น จากที่เคยถ่ายแข็ง กลายเป็นถ่ายเหลว หรือกลับกัน หรืออุจจาระมีลักษณะลีบเล็ก ต่อเนื่องกันเกินกว่าสองสามวัน ? รู้สึกอยากจะถ่ายอุจจาระอยู่ตลอด ทั้งๆ ที่ถ่ายเสร็จแล้ว ? ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ? ปวดเกร็งในท้องต่อเนื่องยาวนาน อาการเหล่านี้ไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าผู้ที่มีอาการต้องป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ เพราะยังมีอีกหลายโรคที่ทำให้เกิดอาการ เช่นนี้ได้ ดังนั้นถ้าหากคุณมีอาการเหล่านี้ หรือมีปัจจัยเสี่ยงดังที่กล่าวมาข้างต้น การไปให้หมอตรวจย่อมเป็นวิธีที่ดีที่สุดครับ รักษาอย่างไร?
การรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่มีวิธีหลักอยู่ 3 วิธี ได้แก่
การผ่าตัดเอาเนื้อร้ายออก
การใช้ยาไปทำลายเซลล์มะเร็ง
การทำลายเซลล์มะเร็งในตำแหน่งต่างๆ ด้วยการฉายรังสี
การเลือกวิธีในการรักษานั้นขึ้นอยู่กับว่าเป็นมะเร็งมากน้อยเพียงใด มีการลุกลาม หรือแพร่กระจายหรือไม่ และสภาพ ร่างกายของผู้ป่วยขณะนั้นเหมาะสมกับวิธีใดมากที่สุด ทั้งนี้จะขึ้นกับการตัดสินใจของหมอที่รักษา
จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคนี้หรือเปล่า?
เนื่องจากเป็นโรคที่ไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่ถ้าตรวจพบว่าเป็นและได้รับการรักษาแต่เนิ่นๆ จะได้ผลดีมาก โดยถ้าได้รับการรักษาก่อนที่มะเร็งจะกระจายออกไป จะมีอัตราการหายประมาณ 90 % แต่ถ้าเริ่มรักษาตอนที่ มะเร็งได้ลุกลามไปยังอวัยวะหรือต่อมน้ำเหลืองข้างเคียงแล้ว จะมีอัตราการหายลดลงเหลือ 65 % แต่ถ้ามะเร็งได้ กระจายไปยังตับหรือปอดแล้ว อัตราการหายจะลดลงเหลือเพียง 8 % เท่านั้น คุณคงเห็นแล้วว่า ยิ่งตรวจพบมะเร็งได้เร็วและได้รับการรักษาเร็วเท่าไร โอกาสหายยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้น คุณที่มีปัจจัยเสี่ยงตามที่กล่าวมาข้างต้น ควรรีบไปตรวจดูว่าเป็นโรคนี้หรือเปล่า
อาการของโรคนี้มีอะไรบ้าง?
อาการที่พบได้ก็มีดังนี้ ? แรกๆจะไม่มีอาการอะไรเลย อาจมีเพียงอืดแน่นท้องบ้างเป็นครั้งคราว ? มีการเปลี่ยนแปลงของการถ่ายอุจจาระ เช่น จากที่เคยถ่ายแข็ง กลายเป็นถ่ายเหลว หรือกลับกัน หรืออุจจาระมีลักษณะลีบเล็ก ต่อเนื่องกันเกินกว่าสองสามวัน ? รู้สึกอยากจะถ่ายอุจจาระอยู่ตลอด ทั้งๆ ที่ถ่ายเสร็จแล้ว ? ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ? ปวดเกร็งในท้องต่อเนื่องยาวนาน อาการเหล่านี้ไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าผู้ที่มีอาการต้องป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ เพราะยังมีอีกหลายโรคที่ทำให้เกิดอาการ เช่นนี้ได้ ดังนั้นถ้าหากคุณมีอาการเหล่านี้ หรือมีปัจจัยเสี่ยงดังที่กล่าวมาข้างต้น การไปให้หมอตรวจย่อมเป็นวิธีที่ดีที่สุดครับ รักษาอย่างไร?
การรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่มีวิธีหลักอยู่ 3 วิธี ได้แก่
การเลือกวิธีในการรักษานั้นขึ้นอยู่กับว่าเป็นมะเร็งมากน้อยเพียงใด มีการลุกลาม หรือแพร่กระจายหรือไม่ และสภาพ ร่างกายของผู้ป่วยขณะนั้นเหมาะสมกับวิธีใดมากที่สุด ทั้งนี้จะขึ้นกับการตัดสินใจของหมอที่รักษา
กันไว้ย่อมดีกว่าแก้นะคะ วิธีที่ดีที่สุดที่ขอแนะนำคือ
ป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ไว้ก่อนด้วยการลดปัจจัยเสี่ยงให้เหลือ น้อยที่สุด
และไปให้หมอตรวจตามแนวทางที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น
อย่าคิดว่าไม่จำเป็นเพราะคุณไม่ได้มีอาการอะไรเลย
เพราะถ้ามัวแต่รอจนมีอาการแล้วค่อยไปตรวจ มันก็อาจสายไปแล้วครับ
ต่อให้มีเงินมากแค่ไหน ก็ไม่อาจจะยื้อชีวิตคุณ หรือคนที่คุณรักได้เลย
ต่อให้มีเงินมากแค่ไหน ก็ไม่อาจจะยื้อชีวิตคุณ หรือคนที่คุณรักได้เลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น